พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
"องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"

 

      เนื่องจากครั้งหนึ่งผมเคยเป็นทหารเรืออยู่ที่สัตหีบ ซึ่งทหารเรือทุกคนตลอดจนผู้คน ต่างให้ความเคารพ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ผู้ที่ทรงเป็นพระบิดาแห่งกองทัพเรือ ตลอดการเป็นทหารเรือของผม ( ทหารเกณฑ์ ) คือขอให้ผมได้มีโอกาสสักครั้งหนึ่งเถิดที่จะได้หยิบยกนำเรื่องราวของ เสด็จฯในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

 

กำลังรบทางเรือของไทย มีกำเนิดมาควบคู่กับ การสร้างอาณาจักรไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ในอดีตไม่ได้มี การแบ่งแยกเป็น กองทัพบก หรือกองทัพเรือ ดังเช่นปัจจุบัน เมื่อยาตราทัพไป ทางบก เพื่อทำสงครามก็เรียกว่า " ทัพบก " หากเมื่อยาตราทัพ ไปทางเรือ ก็เรียกว่า " ทัพเรือ " ในอดีต และปัจจุบันทหารเรือ ได้ยกย่อง พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็น " องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ " ซึ่งนับเป็น การเทิดทูน พระเกียรติคุณ อย่างสูงสุด เนื่องจากพระองค์ ได้ทรงนำความ เจริญรุ่งเรือง มาสู่กองทัพเรือ และ ประเทศชาติ โดยทรงวางรากฐาน การบริหารงานของกองทัพเรือ ระเบียบวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ภายในกองทัพเรือ จนทำให้ทัพเรือไทย มีความทันสมัย มีมาตรฐาน และ เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมกับ อารยะประเทศ มาจวบจนทุกวันนี้ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงมี พระนามเดิมว่า " พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ " เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ใน พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ( วร บุนนาค ) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง

พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษา วิชาการทหารเรือ จากประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงมีจุดประสงค์ อันแรงกล้าที่จะฝึก ให้ทหารเรือไทย เดินเรือทะเลได้อย่างชาวต่างประเทศ และ สามารถทำการรบ ทางเรือได้เนื่องจากในอดีต ประเทศไทย ได้ว่าจ้างชาวต่างชาติ มาเป็นผู้บังคับการเรือ มาโดยตลอด แม้แต่ในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสฯ ยุโรปครั้งแรก ก็ยังได้ว่าจ้าง " กัปตันคัมมิ่ง" และคณะนายทหาร เรืออังกฤษ เป็นผู้เดินเรือ ภายหลังจากที่พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สำเร็จการศึกษา และเข้ารับราชการ ทหารเรือแล้ว พระองค์ได้แก้ไข ปรับปรุงระเบียบการ ในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ และริเริ่มการใช้ ระบบการปกครองบังคับบัญชา ตามระเบียบ การปกครองในเรือรบ คือการแบ่งให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชารองลงมา นอกจากนี้ยังทรงจัดเพิ่ม วิชาสำคัญสำหรับชาวเรือขึ้นเพื่อให้สำเร็จการศึกษา สามารถเดินเรือ ทางไกลในทะเลน้ำลึกได้คือ วิชา ดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต พีชคณิต ฯลฯ

 

ในปี 2462 พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ โดยนำเรือหลวงพระร่วงจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทย เดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงที่สำคัญ
ที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงเห็นความสำคัญ และโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อ วันที่ 20 พ.ย. 2449 ทำให้กิจการทหารเรือมี รากฐานมั่นคงนับตั้งแต่บัดนั้น
และกองทัพเรือจึงยึดถือ วันดังกล่าวของทุกปีเป็น "วันกองทัพเรือ" จากการที่พระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ ที่เล็งเห็นการไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ เพื่อสร้างเป็นฐานทัพเรือ
เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า อ่าวสัตหีบเป็นอ่าว ที่มีขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อม ยิงตอร์ปิโดได้และเกาะน้อยใหญ่ ที่รายล้อมรอบสามารถบังคับคลื่นลมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรือภายนอกเมื่อแล่นผ่าน
พื้นที่ดังกล่าว จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้เลย นอกจากพระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์พระองค์
ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง และเสด็จไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้กับประชาชนด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือคนจีน จนกระทั่งชาวจีนย่านสำเพ็ง มีความทราบซึ้ง ในพระกรุณาธิคุณ และได้เรียกพระองค์ท่านว่า "เตี่ย" ซึ่งหมายถึงพ่อ
ทำให้ในเวลาต่อมาทหารเรือได้เรียกพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" สำหรับในหมู่คนไข้ชาวไทย ที่พระองค์รักษานั้น มักจะเรียกขานนามพระองค์ว่า "หมอพร"

พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงประชวร และสิ้นพระชนม์ ในขณะที่ประทับอยู่ที่หาดทรายรี ปากน้ำเมืองชุมพร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2466 เวลา 11.40 น. ยังความโศกเศร้ามาสู่บรรดาทหารเรือยิ่งนัก

บันทึกของเสด็จใน
กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์

เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า
"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"
ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า
แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้
ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม
จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
ก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม
อันเป็นที่รักของกู
ตราบใดที่คำว่า "อาภากร"
ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู
ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น
แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

จากหนังสืออนุสรณ์พระนคร '39

 

แม้นว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม

แต่พระราชกรณียกิจและคุณงามความดีของพระองค์

ที่ทรงมีต่อประเทศชาตินั้น ยังคงจารึกไว้ในความทรงจำ

ของปวงชนชาวไทยอยู่อย่างมิลืมเลือน

ความเลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยที่มีต่อพระองค์นั้น

จะเห็นได้จากอนุสาวรีย์และศาลของพระองค์ที่มีมากมาย

ทั่วประเทศกว่า 120 แห่ง

เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงสำเร็จวิชาการทหารเรือจากยุโรป โดยใช้เวลาศึกษาและอยู่ต่างประเทศที่เจริญด้วยวิทยาศาสตร์ ถึง 6 ปี คนไทยที่ไปศึกษาเมืองนอกมาในยุคนั้น แต่ละพระองค์ หรือแต่ละคนย่อมแสดงออกถึงความเป็นคนสมัยใหม่ ไม่เชื่อเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ดุจเรื่องพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสมัยเป็นมหามกุฎราชกุมาร ทรงเขียนจดหมายถึงเสด็จพ่อ ร.๕ ว่า

ในคืนวันที่ 24 ตุลาคม 2452 เวลาดึก 2 ยาม 55 นาที ขณะที่นั่งเล่นอยู่ที่เรือนหลังหนึ่งในพระราชวังสนามจันทร์ พร้อมด้วยข้าราชการและมหาดเล็กจำนวนมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นองค์พระปฐมเจดีย์มีรัศมีสว่างพราวออกทั้งองค์ ดูราวกับพระเจดีย์ด้านตะวันตกทาด้วยฟอสฟอรัส พราวเรืองตั้งแต่ใต้คอระฆังขึ้นไปจนถึงยอดมงกุฎ และยังซ้ำมีเป็นรัศมีพวยพุ่งขึ้นไปอีกประมาณ 3-4 วา ปรากฏแก่ตาอยู่เช่นนี้ประมาณ 17 นาที จากนั้นรัศมีตอนใต้ปล้องไฉนตลอดจนยอดก็ดับไปทันที เหลือสว่างแต่ตอนช่วงมะหวด แต่สว่างอยู่ไม่ถึงครึ่งนาทีก็ดับไปหมด แม้องค์พระเจดีย์ก็มืด มองไม่เห็นชัด ผู้ที่เห็นเหตุการณ์นับแล้วมี 69 คน

ตรองดูตามหลักวิทยาศาสตร์ บางทีจะเป็นด้วยตอนเย็นฝนตกหนัก ละอองฝนจะติดค้างที่กระเบื้องที่ประดับองค์พระเจดีย์ ครั้นตอนดึกพระจันทร์จวนตก แสงจันทร์ส่องทอตรง ได้ระดับฐานฉากกับองค์พระเจดีย์ จึงได้บังเกิดแสงพราวฉะนั้น ครั้นพระจันทร์เหลื่อมเข้าเมฆแสงก็ลับไป รัศมีที่องค์พระเจดีย์ก็หายไปด้วย

ครั้นรุ่งขึ้นทราบว่าจีนที่รับเหมาทำศาลารัฐบาล ซึ่งอยู่ด้านตะวันออกขององค์พระเจดีย์ รวมทั้งชาวตลาดอีกหลายคนซึ่งอยู่ด้านเหนือองค์พระเจดีย์ก็เห็นด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็หมายถึงรัศมีได้สว่างพราวไปทั้งองค์ เป็นการพ้นวิสัยที่แสงจันทร์จะทอแสงได้ทั่ว จะว่ามีฟอสฟอรัสอยู่ในองค์พระก็ไม่น่าจะใช่ เพราะธาตุนั้นจะสว่างพราวในเวลากลางคืนได้ก็ต่อเมื่อได้รับแสงอาทิตย์ในเวลากลางวันไว้มากพอ ทว่าวันนั้นเวลากลางวันก็ชอุ่ม ตอนเย็นฝนก็ตก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่เพราะฟอสฟอรัสแน่

เสด็จพ่อ ร.๕ ทรงมีจดหมายตอบว่า

ได้รับหนังสือปาฏิหาริย์พระปฐมเจดีย์แล้ว ตามที่เล่ามาช่างไม่มีผิดกับที่เคยเห็น 2 คราวแต่สักนิดหนี่งเลย กำลังเสด็จออก คนเฝ้าแน่นอยู่ ก็ได้เป็นเช่นนี้ เห็นด้วยกันหมด จึงได้มีเรื่องตรวจตราซึ่งได้ปรากฏในหนังสือของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ แต่จะเป็นด้วยเหตุใดเหลือที่จะยืนยันฤารับรองให้คนอื่นเห็นจริงด้วยได้ จึงไม่ได้เล่าให้ใครฟังในชั้นหลัง ๆ นี้ แปลกอยู่หน่อยหนึ่งแต่เวลาที่จะเป็น มักจะเป็นเดือน ๑๑ เดือน ๑๒ แลเดือนยี่ เวลาเดินบกมาถึงที่นั้น ฤาเด็จออกไปหลายครั้งไม่เคยมีเลย

แต่เสด็จกรมหลวงชุมพรมีประสบการณ์อะไรจึงได้เชื่อและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และไสยเวท คาถาอาคม จนมอบตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

เรื่องนี้มีเล่าไว้ในหนังสือ เล่าเรื่องเมืองไทย ในตอนหนึ่ง ผมจะเขียนเองเดี๋ยวจะหาว่าแต่งเรื่องขึ้น จึงถ่ายรูปจากหนังสือให้ท่านอ่านกันเลยจะดีกว่า

อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ผมเลื่อมใสและเชื่อมั่นในพระสมเด็จรุ่นกรมวังหน้าเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะเสด็จในกรมหลวงชุมพรท่านพิสูจน์จนเห็นกับพระเนตรพระกรรณมาแล้ว จนเป็นต้นเหตุให้ท่านหันมาศึกษาค้นคว้าเรื่องไสยเวท จนมีชื่อเสียงโด่งดังมาถึงทุกวันนี้

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น