พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนาศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง
หลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักความจริงที่พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบโดยมิได้ทรงสร้างสรรค์ขึ้นเอง
และมิได้ทรงรับคำสั่งสอนมาจากเทพเจ้าหรือพระเจ้าองค์ใดทั้งสิ้นดังที่กล่าวแล้วนั้นพระพุทธศาสนาจึงนับว่าเป็นศาสนาที่ต่างไปจากศาสนาอื่นๆอยู่มาก
หลักคำสอนที่สนับสนุนความจริงดังกล่าวนี้ คือ หลักคำสอนเรื่อ ศรัทธาและปัญญา
ศรัทธา คือ ความเชื่อ
ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญาหรือเหตุผล
ซึ่งเรียกว่า ศรัทธาเพื่อปัญญา แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงสอนให้คนมีศรัทธา
แต่ศรัทธาของพระองค์นั้นต้องผ่านการพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญาให้รอบคอบเสียก่อน
ดังที่ ทรงสอนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคม
ในแคว้นโกศล ว่า
อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ
เพียงเพราะฟังตามๆกันมา เพียงเพราะถือปฏิบัติกันสืบๆมา เพียงเพราะข่าวเล่าลือ
เพียงเพราะการอ่านตำราหรือคัมภีร์ เพียงเพราะการให้เหตุผลแบบตรรกะ
เพียงเพราะการอนุมานเอาตามอาการที่ปรากฏ
เพียงเพราะเห็นว่าเข้ากันได้ตรงตามทฤษฎีหรือความคิดเห็นของตน
เพียงเพราะเห็นว่ามีรูปลักษณะน่าเชื่อถือ
และเพียงเพราะถือว่าสมณะหรือนักบวชผู้นี้เป็นครูของเรา
แต่เมื่อใดได้ใช้ปัญญาพิจารณาโดยรอบคอบแล้ว และเห็นว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้น
ไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน อีกทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียน ก็จงทำสิ่งนั้น
แต่หากสิ่งใดเมื่อทำลงไปแล้วตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน นักปราชญ์ติเตียน
ก็จงอย่าได้ทำสิ่งนั้นเลย
หลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ
หากทรงสอนเรื่องศรัทธาไว้ในที่ใด ก็จะทรงสอนปัญญากำกับไว้ในที่นั้นด้วย
นั่นก็หมายความว่า ทรงสอนให้ใช้ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาเสมอไป
ตัวอย่างเช่น
ในหลักคำสอนหมวด พละ 5 ( ธรรมอันเป็นกำลัง
)
ประกอบด้วย
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา หรือใน อริยทรัพย์ 7 ( ทรัพย์ภายในอันประเสริฐ
)
ประกอบด้วย
ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ จาคะ และปัญญา
จะเห็นว่า ศรัทธาในพระพุทธศาสนาต้องมีปัญญากำกับด้วยเสมอ
ซึ่งต่างจากศาสนาอื่นบางศาสนาที่จะสอนให้ศรัทธาอย่างเดียว คือ
ถ้าพระคัมภีร์สอนไว้อย่างนี้ ก็จะต้องเชื่อตามโดยไม่มีข้อแม้
ถ้าหากไม่เชื่อถือว่าเป็นคนบาป
แต่สำหรับพระพุทธศาสนา
แม้แต่การสอนหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงบังคับให้เชื่อตามที่พระองค์สอน
พระองค์ทรงแนะนำให้พิจารณาไตร่ตรองด้วยเหตุด้วยผลและเห็นด้วยเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ
การพัฒนาศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง
ศรัทธาในกระบวนการพัฒนาตามหลักพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง
ความเชื่อมั่น ความซาบซึ้ง
ด้วยความมั่นใจในเหตุผลเท่าที่ตนสามารถพิจารณาเห็นได้ โดยมีเหตุผลว่า
จุดหมายหรือเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้านั้นเป็นไปได้จริงและมีคุณค่าควรที่จะไปให้ถึง
ศรัทธาจึงเป็นบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่ปัญญาหรือความรู้
ซึ่งตรงข้ามกับศรัทธาที่เป็นแบบมอบตัว มอบความไว้วางใจให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยไม่คิดหาเหตุผล
ศรัทธาที่ถูกต้องเป็นสื่อนำไปสู่การพัฒนาปัญญา
แบ่งออกเป็น 4 ประการ
คือ
1. ความเชื่อมั่นในศักยภาพในการเข้าถึงอิสรภาพที่แท้จริงของมนุษย์
(
ตถาคตโพธิสัทธา )
2. ความเชื่อมั่นในกฎการกระทำ
(
กัมมสัทธา
)
3. ความเชื่อมั่นในผลของการกระทำ ( วิปากสัทธา )
4. ความเชื่อมั่นว่ามนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำและผลของการกระทำนั้น ( กัมมัสสกตาสัทธา
)
ปัญญา หมายถึง
ความรู้
หรือความหยั่งรู้เหตุผล
ปัญญาที่ถูกต้องในกระบวนการพัฒนามีลักษณะ
3 ประการ
คือ
1. ความรู้จักเหตุแห่งความเสื่อมและโทษของความเสื่อม ( อปายโกศล )
2. ความรู้จักเหตุแห่งความเจริญและประโยชน์ของความเจริญ ( อายโกศล )
3. ความรู้จักวิธีการละเหตุแห่งความเสื่อมและวิธีการสร้างเหตุแห่งความเจริญ
(
อุปายโกศล
)
จากการที่พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนาศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้องดังกล่าวข้างต้น
พระพุทธศาสนาจึงได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งเหตุผล หรือเป็นศาสนาแห่งปัญญา
ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ใช้สติปัญญาความคิดเห็นของตนพิจารณาอย่างเต็มที่ก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ
0 ความคิดเห็น